สหภาพยุโรประงับการตอบโต้ภาษีสหรัฐฯ หลังข้อตกลงภาษีขั้นต่ำ 10% ทั่วโลก

## สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และผลกระทบต่อธุรกิจอาหาร

การค้าระหว่างประเทศเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งทางการค้า ผลกระทบย่อมส่งถึงทุกภาคส่วน หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 2562 รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยมาตรการเดียวกัน สร้างความกังวลให้กับธุรกิจทั่วโลก รวมถึงอุตสาหกรรมอาหาร

บทความจาก Food Dive (https://www.fooddive.com/news/trump-tariffs-china-increase-125-percent/744939/) รายงานว่าสหรัฐฯ ได้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตราสูงถึง 125% ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งในแง่ของต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น และความยากลำบากในการส่งออกสินค้าไปยังจีน ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตอาหารกระป๋องในสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับต้นทุนเหล็กที่สูงขึ้น เนื่องจากเหล็กเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตกระป๋อง และจีนเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลก การขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กจากจีนจึงส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตโดยตรง

นอกจากนี้ ธุรกิจร้านอาหารก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ร้านอาหารที่ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากจีน เช่น อาหารทะเล เครื่องปรุง หรืออุปกรณ์ต่างๆ ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องปรับราคาอาหาร ลดปริมาณอาหาร หรือลดคุณภาพของวัตถุดิบ เพื่อรักษาผลกำไร ในระยะยาว อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจร้านอาหาร

อย่างไรก็ตาม บทความดังกล่าวยังระบุว่า หลายประเทศจะถูกเก็บภาษีขั้นต่ำที่ 10% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงระหว่างประเทศ และสหภาพยุโรป (EU) ได้ระงับการตอบโต้ทางภาษีกับสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกร่วมกัน แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการลดความตึงเครียดทางการค้าและหาทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน เป็นบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของเศรษฐกิจโลก และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางการค้า ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงธุรกิจอื่นๆ จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และวางแผนรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การมองหาแหล่งวัตถุดิบทดแทน การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการบริหารจัดการต้นทุน เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน แม้ในสภาวะที่ผันผวน

การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการร้านอาหาร เช่น ระบบ POS ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนได้ ระบบ POS ช่วยในการจัดการสต็อก ควบคุมต้นทุนวัตถุดิบ ติดตามยอดขาย และวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจทางธุรกิจ และช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

#โปรแกรมร้านอาหาร #ระบบposร้านอาหาร #ระบบจัดการร้านอาหาร

Categories: Uncategorized
X