โรงงานผลิตดีบุกในสหรัฐฯ เหลือเพียง 3 แห่ง

## วิกฤตกระป๋องในสหรัฐฯ: ผลกระทบจากการขาดแคลนเหล็กวิลาดและสงครามการค้า

อุตสาหกรรมอาหารกระป๋องในสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ จากการขาดแคลนเหล็กวิลาด ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตกระป๋อง สถาบันผู้ผลิตกระป๋องแห่งสหรัฐอเมริกา (The Can Manufacturers Institute – CMI) ระบุว่า ปัจจุบันมีโรงงานผลิตเหล็กวิลาดที่ยังเปิดดำเนินการอยู่ภายในประเทศเพียง 3 แห่งเท่านั้น สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานอาหารกระป๋องอย่างรุนแรง และอาจทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต

ตามรายงานของ Food Dive การขาดแคลนเหล็กวิลาดส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมที่รัฐบาลสหรัฐฯ บังคับใช้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการยกเว้นภาษีสำหรับบางประเทศ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาการขาดแคลนได้ นอกจากนี้ ความต้องการกระป๋องยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในช่วงการระบาดของโควิด-19 ผู้คนหันมาซื้ออาหารกระป๋องเก็บไว้มากขึ้น เนื่องจากมีความสะดวกและเก็บรักษาได้นาน ทำให้ความต้องการกระป๋องเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่อุตสาหกรรมจะสามารถผลิตได้ทัน

การขาดแคลนเหล็กวิลาดส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตอาหารกระป๋องทุกขนาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ต้องแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ในการจัดหาวัตถุดิบ หลายบริษัทต้องปรับลดกำลังการผลิตลง หรือแม้กระทั่งหยุดการผลิตบางสายผลิตภัณฑ์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

นอกจากภาษีนำเข้าแล้ว ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการขาดแคลนเหล็กวิลาด ได้แก่ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ปัญหาการขนส่ง และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาเหล็กวิลาดพุ่งสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อราคาอาหารกระป๋องในที่สุด

การแก้ไขปัญหาดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รัฐบาลควรพิจารณาทบทวนนโยบายภาษีนำเข้า และสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็กวิลาดภายในประเทศ ขณะที่ผู้ผลิตอาหารกระป๋อง ควรปรับกลยุทธ์การผลิต และมองหาแหล่งวัตถุดิบทดแทน เช่น การใช้วัสดุอื่นๆ ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ หรือการนำเข้าเหล็กวิลาดจากประเทศอื่นๆ

ในระยะยาว การลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย และการพัฒนาบุคลากร จะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเหล็กวิลาดในสหรัฐฯ และช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศในอนาคต

ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการร้านอาหารที่จำหน่ายอาหารกระป๋อง ก็ต้องปรับตัวรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน อาจต้องพิจารณาปรับราคาสินค้า หรือมองหาแหล่งวัตถุดิบทดแทน รวมถึงการใช้ #โปรแกรมร้านอาหาร เพื่อบริหารจัดการต้นทุนและสต็อกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ #ระบบposร้านอาหาร เพื่อช่วยในการขายและบันทึกข้อมูลการขาย ซึ่งจะช่วยให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ได้ และสุดท้าย การใช้ #ระบบร้านอาหาร ที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ธุรกิจร้านอาหารสามารถรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

ที่มา: https://www.fooddive.com/news/aluminum-steel-tariffs-exemptions-american-production-canned-foods/742690/

Categories: Uncategorized
X